คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2803/2550
ป.อ. มาตรา 56, 59 วรรคสี่, 63, 291
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43(4), 157
จำเลยที่ 1
ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกทรายเต็มคันรถ ในเขตชุมชนใกล้ทางแยกเข้าหมู่บ้าน
ตามหลังรถยนต์กระบะ ไปตามถนนที่แบ่งเป็น 2 ช่องจราจรแล่นสวนกัน จำเลยที่ 1
ควรใช้ความเร็วต่ำและเว้นระยะให้ห่างมากพอที่จะหยุดรถได้ทัน โดยไม่ให้ชนรถคันหน้า ยิ่งมีฝนตกและเป็นเวลากลางคืน
จำเลยที่ 1 ควรต้องระมัดระวังเว้นระยะให้ห่างมากขึ้น
การที่จำเลยที่ 1 ต้องหักหลบไปทางขวา เมื่อรถยนต์กระบะต้องหยุดรถ เพราะมีรถยนต์ออกจากปั๊มน้ำมัน ก็เกิดจากจำเลยที่ 1 เกรงว่าจะหยุดไม่ทันเนื่องจากรถที่จำเลยที่ 1 ขับบรรทุกของหนัก การหักหลบไปทางขวาเป็นเครื่องแสดงอยู่ในตัวว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยที่ 1 ขับจะต้องใช้ความเร็วสูง ทั้งไม่เว้นระยะให้ห่างรถยนต์กระบะซึ่งขับอยู่ข้างหน้า ให้อยู่ในระยะที่สามารถหยุดรถได้ทันที รถของจำเลยที่ 1 จึงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถที่ผู้ตายขับรถยนต์สวนมา และเกิดเหตุชนกับรถที่ผู้ตายขับในช่องเดินรถของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
การที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นผลโดยตรงจากการขับรถโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ 1 จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการขับรถโดยประมาทและกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 78 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
การที่จำเลยที่ 1 ต้องหักหลบไปทางขวา เมื่อรถยนต์กระบะต้องหยุดรถ เพราะมีรถยนต์ออกจากปั๊มน้ำมัน ก็เกิดจากจำเลยที่ 1 เกรงว่าจะหยุดไม่ทันเนื่องจากรถที่จำเลยที่ 1 ขับบรรทุกของหนัก การหักหลบไปทางขวาเป็นเครื่องแสดงอยู่ในตัวว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยที่ 1 ขับจะต้องใช้ความเร็วสูง ทั้งไม่เว้นระยะให้ห่างรถยนต์กระบะซึ่งขับอยู่ข้างหน้า ให้อยู่ในระยะที่สามารถหยุดรถได้ทันที รถของจำเลยที่ 1 จึงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถที่ผู้ตายขับรถยนต์สวนมา และเกิดเหตุชนกับรถที่ผู้ตายขับในช่องเดินรถของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
การที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นผลโดยตรงจากการขับรถโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ 1 จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการขับรถโดยประมาทและกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 78 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
แม้จะมีรถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยที่
2 ขับตามหลังมาไม่สามารถหยุดรถได้ทันเมื่อจำเลยที่ 1
หยุดรถกะทันหัน ได้ชนท้ายรถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยที่ 1 ขับ
ก็หามีผลทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิด
และการขับรถยนต์ประมาทของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวไม่ตัดความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลที่จำเลยที่
1 ก่อขึ้นแก่ผู้ตาย
ส่วนกรณีที่แพทย์ตรวจพบแอลกอฮอล์
0.239 กรัมเปอร์เซ็นต์ ในศพผู้ตาย
ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดระดับนี้มีผลต่อร่างกายทำให้การตัดสินใจผิดพลาดได้นั้น
เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ได้วินิจฉัยมาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1
ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อหักหลบรถยนต์กระบะที่ต้องหยุดรถกะทันหัน เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยที่
1
ขับล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถที่ผู้ตายขับสวนมา จึงเกิดชนกันในช่องเดินรถที่ผู้ตายขับมา จึงเห็นได้ว่า ผู้ตายมิได้มีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุชนกันขึ้น ไม่ว่าจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดตามปริมาณที่ตรวจพบหรือไม่ ก็ไม่อาจทำให้ผู้ตายหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุชนกันได้ จึงไม่อาจทำให้จำเลยที่ 1 พ้นผิดไปได้
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในทำนองขอให้พิจารณาถึงเหตุบรรเทาโทษ เพื่อลงโทษให้เหมาะสมและขอให้รอการลงโทษด้วยนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองได้พิจารณาถึงเหตุบรรเทาโทษและลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสามแล้ว โทษที่ศาลล่างทั้งสองลงแก่จำเลยที่ 1 เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว และกรณีไม่อาจรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้