วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

หลักการวินิจฉัยคดีจราจรเบื้องต้น

การแสวงหาพยานหลักฐาน
               เมื่อเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกขึ้น ไม่ว่าเกิดจากรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน รถบรรทุก รถโดยสาร ตลอดจนยานพาหนะทางบกทุกชนิด เมื่อเกิดการเฉี่ยวชนกัน หรือชนกับวัตถุอื่นใดในทาง หรือชนคนเดินเท้า คนโดยสาร ก็ตาม ย่อมจะมีผู้ได้รับความเสียหายและมีผู้ขับขี่หรือกระทำโดยประมาท พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รับแจ้งเหตุและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องที่จะต้องมาให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวน เช่น ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และเจ้าของรถ เป็นต้น
               ทั้งนี้ ​กฎหมายให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ทำการสืบสวนสอบสวนคดีอุบัติเหตุจราจรทางบก ด้วยการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานไปตามอำนาจหน้าที่ เพื่อจะทราบรายละเอียดแห่งความผิด และรวบรวมพยานหลักฐานตลอดจนการดำเนินการทั้งหลายอื่นซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ โดยในคดีจราจรทางบกให้ถือว่ารัฐเป็นผู้เสียหาย
               ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุคดีจราจร ทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว พนักงานสอบสวนจะเป็นผู้กล่าวหาในความผิดอาญาดังกล่าวเอง โดยที่คู่กรณีที่พิพาทกันไม่จำต้องเป็นผู้กล่าวหาในคดีจราจรทางบก ส่วนฝ่ายไหนจะเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้ต้องหา ก็ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยคดีเบื้องต้นของพนักงานสอบสวน โดยจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นก่อนทุกครั้ง
              การแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน สามารถหาได้จากแหล่งข้อมูลดังต่อไปนี้
​               ๑. สถานที่เกิดเหตุ ด้วยการเดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จะทำให้ทราบเกี่ยวกับรายละเอียด ดังนี้
                  -  ลักษณะของถนน มีสภาพเป็นทางหลวง ทางลูกรัง ทางตรง ทางโค้ง หรือทางร่วมทางแยก มีความกว้าง พื้นผิวถนน ความลาดเอียง เป็นต้น
                  -  ร่องรอยบนถนน มีรอยล้อ รอยยาง รอยครูด รอยเลือด ฝุ่น โคลน เศษวัตถุหรือชิ้นส่วนของรถที่ตกอยู่  เป็นต้น
                  -  ลักษณะเครื่องหมายจราจร สัญญาณไฟจราจร โดยสังเกตจากสัญญาณไฟจราจรสีต่างๆ ในทางร่วมทางแยกแต่ละด้านว่า การเปลี่ยนแปลงใช้ระยะเวลาเท่าใด และให้สัญญาณแก่รถเคลื่อนตัวไปทิศทางใดตามลำดับ ลักษณะป้ายจราจร ป้ายบังคับ ป้ายเตือน ป้ายแนะนำ หรือเครื่องหมายจราจรบนพื้นทางและขอบทางเท้า เส้นแบ่งช่องเดินรถ ทิศทางการเดินรถ เส้นขอบทาง เส้นแนวหยุด เส้นทแยงสำหรับทางแยก และลักษณะลูกศรบนถนนกำหนดทิศทาง เป็นต้น
                  -  สภาพการจราจร  มีรถพลุกพล่าน การจราจรติดขัด ย่านชุมนุมชน เขตก่อสร้าง มีสิ่งกีดขวาง ค่อนข้างเปลี่ยว หรือรถสามารถเคลื่อนด้วยความเร็วได้ เป็นต้น
 ​                 -   ลักษณะภูมิอากาศ มีฝนตก ถนนลื่น ความมืด ความสว่าง มีฝุ่นควัน เป็นต้น
             ​๒. คำให้การของพยานบุคคล ซึ่งจะเล่าให้ทราบถึงรายละเอียดต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ มีดังต่อไปนี้
                  -  บุคคลที่เกี่ยวข้องก่อนหรือในขณะเกิดเหตุ ได้แก่ ผู้ขับรถ ผู้โดยสาร ผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำรถ ผู้เห็นเหตุการณ์ ผู้อยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เป็นต้น
                  -  บุคคลที่เกี่ยวข้องหลังเกิดเหตุ ได้แก่ พนักงานสอบสวน แพทย์ เจ้าพนักงานพิสูจน์หลักฐาน เจ้าของรถ บิดามารดาของผู้เยาว์ ญาติของผู้ตาย เป็นต้น
   ​          ๓. สภาพความเสียหายของรถ ทำให้ทราบลักษณะทิศทางการชนของรถ ความเร็วของรถ ความแรงของการชน สีของรถคันที่ชนติดอยู่ ระดับความสูงต่ำหรือตำแหน่งที่ชนกัน คราบเลือดหรือชิ้นเนื้อ เส้นผมของผู้บาดเจ็บที่ติดอยู่ ร่องรอยความเสียหายของรถแต่ละคันที่ชนกัน ซึ่งเมื่อนำรถคู่กรณีมาวางเทียบตำแหน่งเข้าด้วยกันแล้วพิจารณาประกอบกับร่องรอยบนถนนแล้วจะสามารถบอกทิศทางการชนกันของรถได้
             ๔. ลักษณะอาการบาดเจ็บ ลักษณะของบาดแผลที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ความรุนแรงจนเกิดการแตกหักของกระดูก รอยถลอก ทำให้ทราบทิศทางการชนของรถ ความเร็วรถ ทิศทางการล้มหรือกระแทกระหว่างร่างกายกับอุปกรณ์ส่วนควบของรถหรือกับพื้นถนน เป็นต้น
             ๕. ผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ที่มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ในทางวิทยาศาสตร์  การตรวจพิสูจน์หลักฐาน การแพทย์ การช่างซ่อมตัวรถ หรือเครื่องยนต์ของรถ และความเห็นของผู้นั้นอาจมีประโยชน์ในการวินิจฉัยคดีในการสอบสวนหรือพิจารณาคดี
             ๖. แหล่งอื่น ๆ เช่น กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ตรงทางร่วมทางแยก กล้องวีดิโอติดหน้ารถยนต์ เป็นต้น