คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๒๓๕/๒๕๕๑
ป.พ.พ. มาตรา ๘
ป.วิ.อ. มาตรา ๔๖
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ , ๑๕๗
การที่จะถือเอาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญามาพิพากษาในคดีส่วนแพ่งได้นั้นจะต้องเป็นคดีที่มีมูลกรณีเดียวกันและเป็นคู่ความเดียวกัน ซึ่งในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ คู่ความในคดีส่วนแพ่งก็จะต้องเป็นผู้เสียหายในคดีอาญานั้นด้วย สำหรับคดีอาญาของศาลแขวงสงขลานั้น จำเลยที่ ๑ เคยถูกพนักงานอัยการประจำศาลแขวงสงขลาเป็นโจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดฐานขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๑๕๗ ซึ่งความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวรัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ในคดีนี้ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาของศาลแขวงสงขลา เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาของศาลแขวงสงขลา ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาของศาลแขวงสงขลาจึงไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ การพิพากษาคดีส่วนแพ่งในคดีนี้ศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
เหตุสุดวิสัยจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้จะได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วก็ตาม เหตุที่รถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ ๑ ขับชนรถยนต์คันที่เอาประกันภัยกับโจทก์ไว้นั้น เป็นเพราะลูกปืนล้อรถพ่วงด้านขวาแตกเป็นเหตุให้ล้อรถพ่วงด้านนั้นหลุด รถจึงเสียการทรงตัว ซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นตัวรถย่อมมีทั้งที่อยู่ภายนอกและภายใน อุปกรณ์บางชิ้นตรวจสอบได้ด้วยสายตา บางชิ้นเสื่อมสลายไปตามสภาพการใช้งาน ซึ่งล้วนแต่ต้องตรวจตราจากผู้ใช้งานทั้งสิ้นไม่ว่าจะตรวจสอบเองในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมยานพาหนะหรือโดยผู้อื่นที่มีหน้าที่ก็ตาม จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าลูกปืนล้อรถเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ภายใน ไม่ใช่หน้าที่ตรวจสอบของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเพียงผู้ขับเท่านั้นไม่ได้ กรณียังถือไม่ได้เหตุดังกล่าวเกิดจากเหตุสุดวิสัย